- ในเยื่อแดงของฟักข้าวมีปริมาณไลโคปีนสูงเป็น 70 เท่า ของมะเขือเทศ
- ปริมาณไลโคปีนในเยื่อแดงของฟักข้าว 100 กรัม เท่ากับไลโคปีนในมะเขือเทศ 7 กิโลกรัม
- ในเยื่อแดงของฟักข้าวมีปริมาณเบตา แคโรทีนสูงเป็น 20 เท่าของแครอท
- ปริมาณเบตา แคโรทีนในเยื่อแดงของฟักข้าว 100 กรัม เท่ากับเบตา แคโรทีนในแครอท 1 กิโลกรัม
- ไลโคปีนเมื่อผ่านความร้อนจะทำให้มีปริมาณไลโคปีนสูงขึ้น แต่ถ้าโดนแสงสว่างปริมาณไลโคปีนจะลดลง แปลว่า "ถ้าผ่านกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ความร้อนจะมีไลโคปีนเพิ่มขึ้น แต่ต้องบรรจุและเก็บในที่ที่มืดสนิทจะรักษาคุณภาพของไลโคปีนได้มากและนานที่สุด"
- ในเยื่อแดงของฟักข้าวมีกรดไขมันที่จำเป็น(Essential fatty acid) เมื่อรวมตัวกับแคโรทีนอยด์คือ ไลโคปีน และ เบตาแคโรทีน เรียกว่า lipocarotenoid ทำให้การดูดซีมไลโคปีน และเบตา แคโรทีนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- นอกจากนี้ในเยื่อแดงของฟักข้าวยังมีวิตามิน อีสูงถึง 40 เท่าของส้มอีกด้วย( วิตามิน อี334 ไมโครกรัม ต่อ 1 ซีซี ของเยื่อแดง)
ฟักข้าว 1 ผล : จะมีเยื่อสีแดงราว 200 กรัม
ประโยชน์ของฟักข้าว
1. ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความชรา ลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังต่างๆ โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจ
2. ช่วยปกป้องเซลล์ ลดการทำลายเซลล์ ลดการเกิดการกลายพันธุ์ จึงช่วยป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก( เนื่องจากไลโคปีนสะสมในเนื้อเยื่อไขมันที่บริเวณต่อมลูกหมากมากที่สุดในร่างกาย มีงานวิจัยพบว่าไลโคปีนสามารถลดปริมาณPSA คือ prostate-specific antigen ซึ่งเป็น marker for prostate cancer) มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้
3. ในผู้สูงอายุ เบต้าแคโรทีนช่วยปกป้องดวงตา ชะลอการเสื่อมและดูแลสุขภาพดวงตา ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก และชะลอการเสื่อมจากดวงตาเนื่องจากเบาหวาน ป้องกันตาบอดกลางคืน
4. ในเด็ก ช่วยบำรุงสายตาในเด็กที่ขาดวิตะมินเอ
5. นอกจากนี้แคโรทีนอยด์ยังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวมีริ้วรอย แห้งกร้านและแก่ก่อนวัย
6. Enhance longevity
เพิ่งรู้จัก ลูกฟักข้าว จากพี่สุขสันต์แนะนำค่ะ อ่านแล้วน่าสนใจดี น่ากินมากๆ
ตอบลบ